…..ด้านที่สามของเหรียญก็คือสันเหรียญ นั่นหมายถึงว่าเราพร้อมที่จะเป็นทั้งหัวและก้อย บางทีไม่พร้อมแต่ก็ต้องเป็นได้ทั้งหัวและก้อยตามสถานการณ์……เห็นผ่าน ๆ จาก FB ผมเห็นว่าเป็นอะไรที่มีความหมายดี… ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่ผมกำลังจะเขียนนะครับ เมื่อไม่นานมานี้น้องอีกบริษัทที่รู้จักชอบพอกันมาบ่นว่า Team building ปีนี้ไปที่เดิมอีกแล้ว แล้วต้องแบกคอมพิวเตอร์ไปทำงานด้วยเซ็งอะพี่ ทำให้ผมระลึกชาติกลับไปได้ประมาณ 2 ปีที่ผ่านมาบริษัทผมก็มีจัดอะไรทำนองนี้เหมือนกันบางคนเรียก outing บางคนเรียก team building ก็น่าจะเรียกได้ทั้งสองคำอะนะเอาเป็นว่าเป็นกิจกรรมที่บริษัทจะสร้างความสัมพันธ์อันดีให้เกิดขึ้นในกลุ่มพนักงานของบริษัท เคยไหมครับที่อยู่ในสถานการณ์ที่ตัวเองไม่อยากไปแต่นายส่งกระแสจิตมาบอกว่าต้องไป แล้วนายก็พูดออกมาว่าเป็น optional ไม่ได้บังคับ !!! เบื้องหน้าเบื้องหลังของเรื่องนี้มันคืออะไรกันแน่ ผมพอจะเห็นมุมของ HR มุมนึงในเรื่องนี้ครับ คือแน่นอนเค้าอยากให้เราไปร่วม ไม่ว่าจะทำให้งานเค้าดูดี หรือทำให้ทีม strong ขึ้นก็แล้วแต่ครับ แต่เหตุที่เค้าไม่ (กล้า) บังคับให้ไปอย่างออกหน้าออกตาส่งจดหมายว่าทุกคนต้องไปอะไรงี้ก็เพราะ ถ้าเกิดอุบัติเหตุ ขาแข้งหัก ฟันกรามหลุดในระหว่างงานนี้ ถือเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในเวลางาน พนักงานจะได้รับเงินค่ารักษาจากกองทุนชดเชย ไม่ใช่ประกันสังคม ซึ่งพอเป็นกองทุนชดเชย การมีพนักงานเบิกเงินค่ารักษาจากกองทุนชดเชยบ่อย ทำให้บริษัทต้องเสียเบี้ยประจำปีที่ต้องสบทบเข้ากองทุนชดเชยมากขึ้นไปด้วย ….พอเห็นภาพนะครับ อีกเรีื่องที่ผมขอแถมให้ด้วยนะครับ เป็นเรื่องที่มีคนถามผมเหมือนกันว่าถ้าเราเดินทางจากบ้านเพื่อไปหาลูกค้าในตอนเช้าหรือกลับบ้านหลังจากไปหาลูกค้าแล้วดันซวยเกิดอุบัติเหตุในช่วงนั้น อันนี้ถือเป็นอุบัติเหตุจากการปฏิบติงานหรือไม่ ศาลท่านวินิจฉัยไว้ว่าถื่อเป็นอุบัติเหตุในหน้าที่นะครับ เงินจากการรักษาตรงนี้ต้องเป็นความรับผิดชอบของกองทุนทดแทนนะครับ ไม่ใช่ประกันสังคม